ประวัติ ของ สแตนลีย์ มิลแกรม

ชีวิตวัยเด็กและชีวิตส่วนตัว

มิลแกรมผู้เป็นชาวยิว[6] เกิดเมื่อค.ศ. 1933 ในเดอะบร็องซ์นครนิวยอร์ก[7] เป็นลูกชายของอะเดลและซามูเอล มิลแกรม (ค.ศ. 1902 – ค.ศ. 1953) ผู้อพยพไปที่สหรัฐอเมริกาจากประเทศโรมันเนียและประเทศฮังการีตามลำดับในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง[8][9][10][11] เขาเป็นลูกคนที่สองจากสามคน[12][13] ครอบครัวของมิลแกรมได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ฮอโลคอสต์ และหลังสงคราม คนในครอบครัวของเขาที่รอดจากค่ายกักกันของนาซี ได้มาอยู่กับครอบครัวของเขาช่วงเวลาหนึ่ง[14]

สุนทรพจน์ในพิธีฉลองเด็กอายุ 13 ปีของยิว (Bar Mitzvah speech) ของเขาเกี่ยวกับชะตากรรมของชาวยิวในยุโรปและผลกระทบที่สงครามโลกครั้งที่สองจะมีต่อชาวยิวทั้งโลก[15][16] เขากล่าวขณะกำลังเป็นชายเต็มตัวภายใต้กฎหมายชาวยิวว่า "ขณะที่ฉัน...พบความสุขในการเข้าร่วมตำแหน่งของอิสราเอล ความรู้เกี่ยวกับความทรมานอันโหดร้ายของเหล่าพวกพ้องชาวยิว...ทำให้สิ่งนี้...เป็นโอกาสที่จะสะท้อนถึงมรดกของคนของฉัน—ซึ่งกำลังกลายเป็นของฉัน...ฉันต้องพยายามเข้าใจคนของฉันและพยายามให้ดีที่สุดที่จะแบ่งเบาความรับผิดชอบซึ่งประวัติศาสตร์ให้ไว้กับเราทุกคน ต่อมาเขาเขียนถึงเพื่อนวัยเด็กว่า "ฉันน่าจะเกิดในชุมชนชาวยิวที่พูดภาษาเยอรมันในกรุงปรากเมื่อ ค.ศ. 1922 และตายในห้องรมควันซัก 20 ปีต่อมา ด้วยความที่ฉันเกิดในโรงพยาบาลบล็องซ์ ฉันคงไม่มีวันเข้าใจ"[17] มิลแกรมแต่งงานกับภรรยา อเล็กซานดร้า เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1961 และมีลูกสองคน มิเชลล์ และ มาร์ก[18]

ความสนใจในฮอโลคอสต์ของมิลแกรมมีฐานอยู่บนสิ่งที่ผู้เขียนชีวประวัติของมิลแกรมเรียกว่า "การพิสูจน์ตนกับชาวยิวชั่วชีวิต" ของมิลแกรม[19] ผู้เขียน Kirsten Fermaglich เขียนว่ามิลแกรมขณะเป็นผู้ใหญ่เคยมี "ความขัดแย้งส่วนตัว ด้วยความที่เป็นชาวยิวผู้มองตนเองเป็น ทั้งคนนอก เหยื่อของการทำลายร้างโดยนาซี และเป็นคนใน เป็นนักวิทยาศาสตร์"[20] อเล็กซานดร้ากล่าวว่าการระบุตนเองเป็นชาวยิวของมิลแกรมทำให้เขามุ้งความสนใจไปที่ฮอโลคอสต์และการวิจัยเรื่องการวิจัยเกี่ยวกับการเชื่อฟังผู้มีอำนาจ

พ่อของมิลแกรมทำงานเป็นคนอบขนมปังซึ่งทำรายได้พอประมาณให้กับครอบครัว จนเสียชีวิตใน ค.ศ. 1953 (จากนั้นแม่ของเขาจึงรับกิจการร้านขายขนมปังต่อ) มิลแกรมเข้าเรียนที่ PS 77 และ James Monroe High School ในเดอะบร็องซ์ เขาเรียนจบภายในสามปี เข้าเก่งกาจด้านวิชาการและเป็นหัวหน้าที่ดีเยี่ยมในหมู่เพื่อนร่วมชั้น เมื่อเขาอยู่ในวัยมหาลัย ครอบครัวของเขาย้ายไปอยู่ที่เคาน์ตีควีนส์ไม่ไกลจากที่อยู้เดิม ในค.ศ. 1954 มิลแกรมได้รับปริญญาตรีในสาขารัฐศาสตร์จาก Queens College ในนครนิวยอร์ก โดยไม่เสียค่าเทอม เขายังศึกษาที่ Brooklyn College และได้เกรด A ในวิชา "จิตวิทยาของบุคลิกลักษณะ" และ "วิธีต่าง ๆ ในการเข้าถึงจิตวิทยาทางสังคม" เขาสมัครในปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (Ph.D) ด้านจิตวิทยาสังคมท่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และถูกปฏิเสธเนื่องจากไม่มีพื้นฐานด้านจิตวิทยาเพียงพอ ด้วยความที่เขาไม่ได้เรียนวิชาเกี่ยวกับจิตวิทยาในปริญญาตรีที่ Queens Collage ต่อมาเขาได้รับเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในปีค.ศ. 1954 หลังสมัครเป็นนักเรียนที่ สำนักงานนักเรียนพิเศษของมหาลัยฮาร์วาร์ด

ชีวิตการทำงาน

ในค.ศ. 1960 มิลแกรมได้รับปรัชญาดุษฎีบัณฑิตด้านจิตวิทยาสังคมจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เขาได้รับตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยเยลในฤดูใบไม้ร่วงของปีค.ศ. 1960 เขาทำงานเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ในแผนกความสัมพันธ์ทางสังคม ณ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดตั้งแต่ ค.ศ. 1963 ถึง ค.ศ. 1966 ในสัญญายาวสามปี จากนั้นสัญญาถูกต่ออีกหนึ่งปี ทว่าในตำแหน่งผผู้บรรยายที่ต่ำกว่า[21] น่าจะเป็นเพราะการทดลองเกี่ยวกับการเชื่อฟังอันเป็นที่ถกเถียงของเขา มิลแกรมจึงถูกปฏิเสธตำแหน่งประจำที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

ในค.ศ. 1967 เขารับข้อเสนอของตำแหน่งประจำศาสตราจารย์จาก City University of New York Graduate Center และเขาสอนที่ City University จนเสียชีวิตในค.ศ. 1984[22]

การเสียชีวิต

มิลแกรมเสียชีวิตในวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 1984 ในวัย 51 ปี จากหัวใจวายในนครนิวยอร์ก โดยมันเป็นการหัวใจวายครั้งที่หน้าของเขา เขามีภรรยา อเล็กซานดร้า มิลแกรม ลูกสาว มิเชลล์ ซาร่า และลูกชาย มาร์ก แดเนียล[23]

แหล่งที่มา

WikiPedia: สแตนลีย์ มิลแกรม http://www.bmj.com/cgi/content/full/331/7512/356 http://discovermagazine.com/2008/feb/if-osama.s-on... http://www.encyclopedia.com/topic/Stanley_Milgram.... http://everything2.com/title/Stanley%2520Milgram http://knol.google.com/k/obedience-to-authority# http://www.pinterandmartin.com http://psychcentral.com/blog/archives/2011/09/04/s... http://cms.psychologytoday.com/articles/index.php?... http://www.stanleymilgram.com/ http://faculty.frostburg.edu/mbradley/psyography/s...